วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ดาวเรือง


ดาวเรือง


ดาวเรือง (Marigold) เป็นชื่อที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันดี มีชื่อภาษาท้องถิ่นทางภาคเหนือว่า "ดอกคำปู้จู้" ซึ่งหมายถึงดอกไม้ที่มีกลีบสีเหลืองคล้ายทองคำ ดาวเรืองเป็นพืชล้มลุก ใบเป็นใประกอบ ลักษณะเรียวยาว ดอกมีลักษณะเป็นแบบดอกรวม ประกอบด้วยดอกย่อยเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก อัดซ้อนกันแน่นอยู่บนฐานรองดอก ดอกมีสีเหลือง ส้ม ครีม และขาว มีตั้งแต่ขนาดเล็ก คือประมาณ 1 นิ้ว จนถึงขนาดใหญ่ประมาณ 4 นิ้ว และเมื่อตัดลำต้น กิ่งก้านหรือใบของดาวเรือง จะมีกลิ่นเหม็น จึงทำให้แมลงไม่ค่อยรบกวน นอกจากนี้ภายในรากของดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งคือ แอลฟ่า เทอร์เธียนิล (& - terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี
การขยายพันธ์
1. การเพาะเมล็ดเป็นวิธีการที่นิยมปฏิบัติกันและผลผลิตดีกว่าวิธีอื่น โดยนำเมล็ดดาวเรืองมาเพาะในกระบะหรือแปลงเพาะการเพาะเมล็ดในกระบะ กระบะที่จะใช้เพาะอาจเป็นกระบะไม้หรือกระบะพลาสติกก็ได้ วัสดุเพาะประกอบด้วยขุยมะพร้าว ทราย ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1:1 การเพาะเมล็ดในแปลง แปลงที่จะใช้เพาะเมล็ดดาวเรือง ควรเป็นดินร่วนซุยและค่อนข้างละเอียด ขุดแปลงกลับหน้าดินตากไว้ประมาณ1 สัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรคและแมลง จากนั้นนำปุ๋ยคอก
2. การปักชำ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่สามารถทำได้อีกวิธีหนึ่ง แต่ไม่ค่อยนิยมมากนัก เนื่องจากได้จำนวนน้อยและให้ผลผลิตต่ำกว่า ดอกมีขนาดเล็กกว่า สาเหตุที่ทำกันเพาะเป็นผลพลอยได้จากการเด็ดยอดทิ้ง ยอดที่เด็ดทิ้งจะมีความยาว 1-2 นิ้ว แล้วนำไปปักชำที่ใช้คือขี้เถ้าแกลบเพราะเก็บความชื้นได้ดีหลังจากเตรียมแปลงหรือถุงปักชำแล้ว นำยอดดาวเรืองมาปักชำ หากควบคลุมความชื้นได้ดี ยอดดาวเรืองจะออกรากภายใน 3-4 วัน และถ้ามีการใช้ฮอร์โมนเร่งรากจะทำให้ดาวเรืองออกรากได้ดียิ่งขึ้นจากนั้นนำไปใว้ให้ถูกแดดอีกประมาณ 3-4 วัน จึงสามารถย้ายไปปลูกยังแปลงปลูก

บานไม่รู้โรย


บานไม่รู้โรย

ชื่อสามัญ Everlasting, Globe Amaranth
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gomphrena globosa, L.
วงศ์ Compositae
ชื่ออื่น บานไม่รู้โรย
ลักษณะทั่วไป บานไม่รู้โรยเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นแข็ง ตามข้อบวมพอง แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นใบเดี่ยว โคนใบมน ใบค่อนข้างยาว ท้องใบมีขนนุ่มสีขาว ออกดอกเป็นช่อ กลุ่มดอกกลมประกอบด้วยกลีบดอกเล็กแข็ง
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม กลางแจ้ง ดินชุ่มชื้น
ถิ่นกำเนิด ไทย พม่า

กัลปพฤษ์


กัลปพฤษ์

ชื่อสามัญ Pink Cassia, Pink Shower, Wishing Tree
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia bakeriana Craib.
วงศ์ LEGUMINOSAE
ชื่ออื่น กัลปพฤกษ์ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ), กานล์ (เขมร-สุรินทร์), เปลือกขม (ปราจีนบุรี)
ลักษณะทั่วไป กัลปพฤกษ์เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 5–15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดกลมหรือรูปร่ม แผ่กว้าง ใบประกอบขนนก ใบย่อย 5–8 คู่ ใบรูปไข่แกมขอบขนาน หรือแกมใบหอก โคนใบเบี้ยว ใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ออกดอกเป็นช่อพร้อมใบอ่อนตามกิ่ง มี 5 กลีบ สีชมพู แล้วซีดจนเป็นสีขาวเมื่อใกล้โรย ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์–เมษายน ผลเป็นฝักกลมยาวมีขนนุ่ม สีเทา เมล็ด จำนวนมาก
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม เติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ทนแล้งได้ดี
ถิ่นกำเนิด ไทย ลาว พม่า และเวียดนาม

พวงชมพู


พวงชมพู

ชื่อสามัญ Coral Vine
ชื่อวิทยาศาสตร์ Antigonon leptopus Hook
วงศ์ POLYGONACEAE
ชื่ออื่น Antigonon leptopus Hook
ลักษณะทั่วไป เป็นพรรณไม้เลื้อยที่มีเถาอ่อนแต่ตรงส่วนโคนจะแข็งแรงมาก เถาจะทอดได้ยาวและเร็ว ลำเถามีสีเขียวอ่อน ใบดกมากเป็นใบเดี่ยวออกทะแยงขึ้นไปตามลำเถา ลักษณะคล้ายใบโพธิ์ เนื้อใบบางเห็นเส้นใบได้ชัดมีสีแดงเรื่อๆ ดอกออกเป็นรูปหัวใจเล็กๆ บางทีก็มีสีขาว บางทีก็มีสีชมพู แก่บ้างอ่อนบ้าง ตรงปลายช่อมักจะยืดตัวใบเป็นมือเกาะเกี่ยวสิ่งอื่นๆ เพื่อเป็นการพยุงตัว เป็นไมัดอกที่งดงามสีเย็นตาไม่ฉูดฉาดเกินไป ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด
สภาพที่เหมาะสม พวงชมพูเป็นพรรณไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ชอบขึ้นในที่ชื้นมากกว่าในที่แห้งแล้ง ดินปลูกควรเป็นดินที่ร่วนซุยมีการระบายน้ำดี ต้องการน้ำปานกลาง เจริญเติบโตได้ทั้งกลางแดดและในร่ม
ถิ่นกำเนิด ประเทศเม็กซิโก

ดอกบัวหลวง


ดอกบัวหลวง


ชื่อสามัญ Nelumbo nucifera
ชื่อวิทยาศาสตร์ Nymphaea lotus Linn.
วงศ์ NYMPHACACEAE
ชื่ออื่น บุณฑริก, สัตตบงกช
ลักษณะทั่วไป เป็นพรรณไม้น้ำประเภทพืชล้มลุก มีลำต้นและหัวอยู่ในดินใต้น้ำ การเจริญชูก้านใบและดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ ใบมีลักษณะกลมกว้างใหญ่ ผิวใบเรียบ สีเขียวขอบน้ำตาล ดอกเป็นกลีบซ้อนกันหลายชั้น มีสีขาว ชมพู เหลือง ลักษณะ สีสัน ขนาดของใบและดอกขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์
การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด แยกกอจากหัวหรือเหง้า
สภาพที่เหมาะสม ดินเหนียว ดินนา ดินผสมอินทรีย์ ต้องการน้ำมากเพราะเป็นพืชเจริญในน้ำ แสงแดดอ่อน จนถึง แดดจัด
ถิ่นกำเนิด แถบทวีปเอเซีย เช่น ประเทศจีน อินเดีย และไทย


วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ทิวลิป

ทิวลิป


ทิวลิป เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว รูปใบเล็กเรียวยาว ปลายใบแหลม เส้นแขนงใบจะเป็นแนวขนานไปตามความยาวของใบ และเรียวลู่ไปรวมกันที่บริเวณปลายใบ ใบแต่ละใบจะออกสลับทิศทางตรงข้ามกัน ต้นหนึ่งๆ จะออกใบประมาณ 3-4 ใบ โดยปรกติทิวลิปจะมีขนาดสูงระหว่าง 12-18 นิ้ว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่พันธุ์และชนิดของทิวลิปแต่ละอย่าง ดอกของทิวลิปก็เช่นเดียวกัน มีหลายแบบ หลายสี และหลายขนาด แต่โดยปรกติดอกทิวลิปจะเป็นดอกไม้รูปถ้วย ยามบานไม่บานแฉ่ง แต่จะบานเพียงแค่แย้มๆ กลีบออก ให้รู้ว่าเป็นดอกทิวลิปที่บานแล้ว แต่อย่างบายแฉ่งก็มีบ้าง เหมือนกัน เช่น พวกดอกทิวลิปซ้อนหลายๆ ชั้น ปรกติดอกทิวลิปจะมีกลีบดอกซ้อนกันเพียง 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ กลีบดอกของทิวลิปมีสีสันต่างๆ มากมายหลายเฉดสี นับตั้งแต่สีแสด แดง ส้ม เหลืองเข้ม เหลือง เหลืองอ่อน ชมพู ขาว และสีสลับลายหลายอย่าง มีทั้งสีเดียวล้วนๆ และสีผสมในดอกเดียว หรือที่เรียกว่า ”Broken Tulips” เกสรผู้เป็นสีเหลืองอ่อน หรือขาวเป็นแท่งรูปหัวศรมี 6 เส้น เกสรเมียมีขนาดโตกว่าเกสรผู้ อยู่กึ่งกลางเกสรผู้ เป็นลักษณะแท่งรูปสามเหลี่ยมยาว 2 - 2.5 เซนติเมตร ( ซึ่งมีขนาดยาวไล่เลี่ยกับเกสรผู้ ) ปลายเกสรเมียแต่ละเหลี่ยม งอลงเป็นสามแฉก ส่วนที่ปลายเกสรผู้บางพันธุ์อาจจะเป็นติ่งสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำก็มี

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

มะลิ


มะลิ

มีลักษณะ ต้นเป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้รอเลื้อย ใบมีทั้งใบเดี่ยวและใบรวม การจัดเรียงตัวของใบมีทั้งแบบใบอยู่ตรงกันข้าม ใบแบบสลับกัน ดอกมีสีขาว กลีบดอกมีชั้นเดียวและหลายชั้น เป็นดอกเดี่ยวและดอกช่อดอกจะออกจากยอดหรือข้างกิ่งส่วนมากมีกลีบเลี้ยง 4-9 กลีบ กลีบดอกมี 4-9 กลีบ โดยปกติดอกจะเริ่มบานในเวลาบ่ายแล้วร่วงในวันรุ่งขึ้น มะลิจะให้ดอกมากในฤดูร้อนและฤดูฝนแล้วจะน้อยที่สุดในฤดูหนาว
การตัดแต่ง
มะลิหากปลูกไปนาน ๆ จะแตกกิ่งก้านสาขามากมายควรจะตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง รวมทั้งตัดกิ่งแห้งและตายออกด้วย จะช่วยให้มะลิมีโรคและแมลงรบกวนน้อยลง อายุยืนยาวขึ้น ให้ดอกดกมากขึ้นพร้อมจะช่วยให้เกษตรกรสะดวกในการปฏิบัติงานด้วย

พุดน้ำบุษย์

พุดน้ำบุษย์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Gardenia sp.
ตระกูล Rubiaceae
ชื่อสามัญ -
ลักษณะทั่วไป พุดน้ำบุษย์ เป็นไม้พุ่มต้นเล็กหรือพุ่มเตี้ยสูงประมาณ 2 - 3 เมตร แตกกิ่งต่ำ ตามข้อของลำต้น ลักษณะใบสวยงามเพราะใบมัน หน้าใบสีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีเทา เป็นลายเห็นเด่นชัดสวยงาม เรียงใบเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบรูปรี กว้าง 5 เชนติเมตร ยาว 11 เซนติเมตร ลำต้นแก่สีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวดอกเดี่ยวบริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีเหลือง โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสีเหลือง ความยาวของกลีบของกลีบดอก 2 เซนติเมตร มี 7 กลีบ คลายรูปช้อน ชูดอกอยู่บนก้าน ดอกบานนาน 7 วันเมื่อแรกแย้มบานมักเป็นสีออกขาวนวลส่งกลิ่นหอมมาก หอมไกล 2 - 3 เมตร เมื่อบานเข้าวันที่สองสีจะเริ่มออกเหลืองอ่อน ต่อมาค่อยๆ เหลืองเข้มจนกระทั้งเข้มจัด
ฤดูกาลออกดอกออกดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมตลอดวัน
สภาพการปลูกเติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำได้ดี แสงแดดจัด ชอบความชื้นแต่ถ้าไม่สามารถหาแดดเต็มวันให้ได้ เเดดครึ่งวัน แดดช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้
การดูแลรักษา พุดน้ำบุษย์ปลูกได้ 2รูปแบบ คือ ปลูกลงดินกลางแจ้งยกแปลงสูง หรือปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งไว้ในที่มีแสงแดดส่องถึง หลังปลูกบำรุงดินด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ประเภทขี้วัวขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคนต้นหรือรอบขอบกระถางปลูก 15 วันครั้ง รดน้ำให้พอชุ่มทั้งเช้าและเย็น


ใบละบาท


ใบละบาท

ชื่อสามัญ Elephant Creeper Silver
ชื่อวิทยาศาสตร์ Argyreia nervosa.
ตระกูล AONVOLVULACEAE
ลักษณะทั่วไป
ใบละบาทเป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทเถาเลื้อยลำต้นมีความยาวประมาณ10-15 เมตรชอบเลื้อยไปตามกิ่งไม้หรือต้นไม้ใหญ่เลื้อยไปได้ไกลแตกกิ่งก้านและใบคลุมแน่นทึบลำต้นสีเขียวมีขนอ่อนๆสีขาคลุมทั่วต้นลำต้นอวบน้ำใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกสลับกันเป็นคู่จากข้อของลำต้นใบใหญ่ลักษณะรูปใบโพธิ์สีเขียวสดใต้ใบจะมีขนอ่อนสีขาวเคลือบอยู่ทั่วใต้ใบขนาดกว้างประมาณ8-12 เซนติเมตรยาวประมาณ 12-18 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อออกตามส่วนยอด ช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-5 ดอก ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก ดอกมีสีชมพู ตรงกลางดอกเป็นหลอดสีม่วงลักษณะดอกคล้ายดอกผักบุ้งการเป็นมงคล คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบละบาทไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่ำรวยด้วยเงินตราเพราะถ้าหากผู้ใดปลูกต้นละบาท สามารถมีใบที่สวยงามและมีจำนวนใบมากขึ้นจะทำให้มีเงินเพิ่มมากขึ้นด้วยเนื่องจากการแตกใบ1ใบก็มีค่าเท่ากับ1บาทดังนั้นถ้าหากแตกใบหลายใบก็จะมีจำนวนเงินเพิ่มขึ้นหลายบาทตามไปด้วย นอกจากนี้ลักษณะใต้ใบก็ยังมีสีคล้ายกับเงินเคลือบอยู่ด้วย
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นใบละบาท ไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคารเพราะ โบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบ ให้ปลูกในวันอังคาร
การปลูก นิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนในละบาทเป็นพรรณไม้เลื้อยดังนั้นจึงควรทำร้านหรือซุ้มเพื่อให้ลำต้นเลื้อยขึ้นไปขนาดหลุมปลูก30x30x30เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักดินร่วนอัตรา1:2ผสมดินปลูกคนไทยโบราณมักปลูกไว้ริมรั้วบ้าน เพราะสะดวกต่อการเกาะเลื้อย และแผ่ขยายลำต้นไปได้ไกล

กล้วยไม้


กล้วยไม้

ลักษณะทั่วไป กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นเป้นข้อปล้อง ผิวเปลือกเรียบบางสีเขียว การเจริญของลำต้นโดยการแยกหน่อออกจากข้อ กล้วยไม้บางชนิดเรียกส่วนของข้อและปล้องว่าลำลูกกล้วยบางชนิดมีระบบรากแบบกึ่งอากาศใบเรียงตัวสลับกันตามข้อลักษณะใบเรียบสีเขียว ขนาดของใบและลักษณะอื่น ๆ แตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอดหรือข้อของลำต้น ช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 10-30 ดอก ลักษณะดอกมีเดือยอยู่ตรงกลาง กลีบดอกแยกออกเป็นส่วน ๆ เรียงตัวกันรอบเกสร มีกลีบดอกประมาณ 5 กลีบ ซึ่งมีสีสรรและขนาดของดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ การเป็นมงคลของกล้วยไม้คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกล้วยไม้ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความประทับใจแก่บุคคลทั่วไปเพราะลักษณะดอกของกล้วยไม้แสดงถึงความงดงาม ประทับใจยิ่งแก่บุคคลทั่วไปที่ได้พบเห็น นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่ายังช่วยทำให้คนในบ้านเป็นผู้มีจริยธรรม เพราะการดูแลกล้วยไม้ให้เกิดดอกที่สวยงาม ต้องเป็นผู้มีจิตใจ และอุปนิสัยเยือกเย็น มีความปราณีตและละเอียดละออ ยังมีกล้วยไม้บางชนิดได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีกล้วยไม้ ได้แก่ กล้วยไม้ชื่อ คัทลียา (Catteya) ทั้งนี้เพราะมีความสวยงามมากเป็นที่ประทับใจแก่สังคมทั่วไป
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นไม้ไว้ทางทิศตะวันออกผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ ทั่วไปทาดอกให้ปลูกในวันพุธ ถ้าให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น

กุหลาบหนู

กุหลาบหนู

ชื่อวิทยาศาสตร์ Rosachinensis Jacq.var.minima voss
ตระกูล Rosaceae
ชื่อสามัญ Fairy Rose,PygmyR
ลักษณะทั่วไป กุหลาบหนู เป็นกุหลาบที่มีความสวยงามน่ารักและสดใส เป็นไม้พุ่ม สูง 20 - 50 เซนติเมตร ลำต้นมีหนามใบประกอบออกสลับ ใบย่อย 5 ใบ เป็นรูปรี ขอบหยัก ปลายแหลม โคงมน หูใบติดกับก้านใบ สีเขียวสดดอก มีหลายสี เช่น สีแดง สีขาว สีชมพู และดอกเดียว 2 สี ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด กลีบดอกมีทั้งชั้นเดียวและหลายชั้น มีกลีบดอกห้ากลีบ เกสรตัวผู้และตัวเมียแยกที่อยู่กัน ชนิดสองสี ปลาบกลีบดอกเป้นสีแดง โคนกลีบดอกเป็นสีขาว เวลาออกดอกบานจะดูสวยงามสดใสมาก
ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปี
สภาพการ ปลูกกุหลาบหนูเป็นไม้กลางแจ้ง ปลูกได้ทั้งลงดินและปลูกลงกระถาง เป็นไม้ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำท่วมขังถ้าปลูกลงดินควรยกแปลงปลูกให้สูง ปลูกในกระถางควรทำทางระบายน้ำใหัไหลดี ตั้งในที่ที่มีแดดส่องถึงทั้งวันดินปลูกเพิ่มฟางแห้งหั่น ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก แกลบดำ แกลบดิบ คลุกให้เข้ากัน จากนั้นนำต้นลงปลูก กลบดินโคนต้นให้แน่น ใช้ฟางแห้งคลุมหน้าดินไว้ บำรุงปุ๋ยขี้วัวขี้ควายแห้งโรยตามหน้าดิน 15 วันครั้ง จะทำให้ โตเร็วและมีดอกสวยงาม


ลั่นทมจอหงวน


ลั่นทมจอหงวน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumeria Rubra Linn.
ตระกูล Apocynaceae
ชื่อสามัญ West Indian ,Nosegay
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้

ลักษณะทั่วไป ลั่นทมจอหงวน เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 3 - 6 เมตร ทุกส่วนมียางขาว ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่ๆที่ปลายกิ่ง ใบเป็นรูปใบหอก หรือหอกกลับ ปลายและโคนใบแหลม สีเขียวสด ดอกเป็นสามสีในดอกเดียวกันคือ เหลือง แดง และขาวมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะจะแรงมากในช่วงเช้า ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน ปลายกลีบแหลม หรือมีติ่งแหลม เมื่อดอกบานเส้นผ่าศุนย์กลางประมาณ 5 ซม. มีเกสรตัวผู้ 5 อัน สั้นเวลามีดอกดกทั้งต้นและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามแบบสามสี มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียง ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดแบน มีปีก
ออกดอกตลอดทั้งปี
นิยมปลูกทั้งลงดินกลางแจ้ง ควรยกแปลงปลูกสูงเพราะเป็นไม้ไม่ชอบน้ำท่วมขัง และปลูกลงกระถางที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงทั้งวันดินปลูกควรเพิ่มทรายหยาบ แกลบดำ ลงไปอย่างละ 1 สวน คลุกให้เข้ากันจนดี หลังปลูกบำรุงปุ๋ยขี้ควายแห้ง รดน้ำพอชุ่มวันละครั้ง จะโตเร็วมีดอกสวยงาม

กล็อกซิเนีย


กล็อกซิเนีย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Sinningia speciosa
ตระกูล Gesneriaceae
ชื่อสามัญ Gloxinia

ลักษณะทั่วไป กล็อกซิเนียเป็นไม้เนื้ออ่อนล้มลุก พุ่มต้นสูงประมาณ 15-30 ซม. มีหัวใต้ดิน ใบสีเขียวสด รูปไข่ อวบน้ำ ขอบหยักมน มีขนทั่วใบ ใบผึ่งกางปรกกระถาง ดอกออกเป็นกลุ่มชูตั้งขึ้นเหนือกลุ่มใบ ดอกมีสีสด กลีบดอกเหมือนกำมะหยี่มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกช้อน ขนาด 5 - 7 ซม. ดอกรูประฆัง ปลายแยก 5 - 12 กลีบ มีขนปกคลุม ดอกมีสีขาว ชมพูอ่อน-เข้ม แดง ม่วง และสองสีในดอกเดียวกัน ทำให้ดอกสวยเด่น จำนวนดอกที่บานคราวหนึ่ง ๆ อาจมีตั้งแต่ 1 ดอก ไปจนถึง 12 ดอก หรือมากกว่า แล้วแต่พันธุ์และการดูแลรักษา
ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปี ไม่มีกลิ่นหอม
สภาพการปลูก เติบโตได้ดีในดินร่วนอมความชื้นแสงรำไรต้องการแสงสว่างไม่มากนักสามารถปลูกกล็อกซิเนียภายในบ้านเรือนโดยใช้แสงจากหลอดไฟก็เพียงพอแล้วเนื่องจากกล็อกซิเนียไม่ต้องการแสงแดดโดยตรงดินที่ใช้ควรมีอินทรีย์วัตถุ สูง ๆ อาจใช้ทราย 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ปุ๋ยคอกหรือขุยมะพร้าว 1 ส่วนก็ได้
การดูแลรักษากล็อกซีเนียเป็นไม้ต้องการแสงแดดรำไรกินน้ำมากภายในกระถางควรชื้นตลอดเวลาการให้น้ำควรให้น้ำทางก้นกระถางโดยให้น้ำจากจานรองกระถางซึมขึ้นไปหรือรดน้ำที่โคนต้นไม่ควรให้โดนดอกและใบเพราะทำให้น้ำขังตามใบ ก็จะทำให้เน่าเป็นวงได้ เมื่อเริ่มเน่าเป็นวงที่ใบก็จะรามไปทั้งต้น ควรปลูกในกระถางลึก ประมาณ 4-5 นิ้วไม่ควรใช้กระถางใหญ่กว่านี้

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

ชบา



ชบา

ชื่อสามัญ Chinese rose
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus rosa sinensis.
ตระกูล MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด จีน อินเดียและฮาวาย
ลักษณะทั่วไป
ชบาในบ้านเรารู้จักกันมานานแล้ว จะเห็นได้จากบ้านคนสมัยก่อนจะมีชบายอยู่แทบทุกบ้านปัจจุบันชบาได้รับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ออกมามากมาย ซึ่งล้วนแต่สวย ๆ งาม ๆทั้งนั้น ทำให้ได้ดอกของชบาที่มีรูปร่างสวยงามสีสันของดอกสดใส ขบานั้นจัดเป็นไม้พุ่ม ความสูงดดยทั่วไปประมาณ 2.50 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มนรี ปลายใบแหลม แต่ปัจจุบันก็ยังมีพันธุ์ แตกต่างออกไปอีกมากมาย
การดูแลรักษา
แสง ชอบแสงแดดมาก
น้ำ ต้องการน้ำพอประมาณ
ดิน เป็นไม้ที่ปลูกได้ง่ายสามารถเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ไม่ควรให้ดินเปียกหรือแฉะเกินไป
ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
การขยายพันธ์ ตอน ปักชำ
โรคและแมลง ไม่ค่อยมีโรคจะมีก็แต่เพลี้ยที่รบกวนอยู่
การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยยามาลาไธออนหรือไดอาซินอน ตามคำแนะนำที่ระบุไว้ในฉลาก

ลิปสติก


ลิปสติก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Aeschynanthus radicans jack.
ตระกูล Gesneriaceae
ชื่อสามัญ Lipstick Vine

ลิปสติก
เป็นไม้ดอกอายุหลายปี ลำต้นสีแดงเลือดหมู ทอดเลื้อยได้ 1.50 -2.0 เมตร ใบรูปหอกแผ่นใบหนาอวบ สีเขียวเข้มรูปรีหรือรูปไข่ดอกออกเป็นช่อ กลีบเลี้ยงรูปหลอด สีแดงเลือดหมู ดอกสีแดงอมส้มสีเหลือง และสีชมพู รูปหลอดยาวปลายแยกเป้น 5 กลีบ ผลเป็นฝักยาว 30 - 60เซ็นติเมตร เมล็ดมีพู่ขนติดที่ปลาย
ออกดอกเกือบทั้งปีแต่ช่วงที่ให้ดอกดกเป็นพิเศษ จะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
ลิปสติกเป็นไม้ แสงแดดรำไร ดินปลูกระบายน้ำได้ดีและเป็นไม้ที่ชอบความชุ่มชื้น
ส่วนประกอบในการปลูกในกระถางแขวน มีพวกกาบมะพร้าว ชึ่งแช่น้ำสะอาด 1 คืน และใบไม้ผุจากนั้นใสปุ๋ยออสโมโค้สโรย สูตรเสมอ 54-14 เป็นปุ๋ยเม็ดชนิดละลายช้า เพื่อเพิ่มดอก รดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า โดยแขวนไว้ในที่รำไร จนกระทั้งลิปสติกออกดอก ส่วนโรคที่พบจะมีพวกเชื้อแป้งให้ฉีดด้วยสารเคมีพอตท์หรือว่าจะใช้สารสะเดาก็ได้

อรุณเบิกฟ้า

อรุณเบิกฟ้า


ชื่อวิทยาศาสตร์ Mandevilla amoena hort.

ตระกูล Rose Dipladenia
ชื่อสามัญ -

ลักษณะทั่วไป เป็นไม้เถาเลื้อยประเภทเนื้อแข็ง ขนาดกลาง มีอายุยืนยาวหลายปี ทุกส่วนของลำต้นกิ่งใบและดอกมียางสีขาว ใบหยาบสีเขียวเข้มรูปรีแกมไข่ยาว ขนาดกว้าง 1 - 2 นิ้ว ยาว 2-4 นิ้ว ปลายใบเรียวแหลมโคนมนสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกสีขาวอมชมพู ออกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อละ 3 - 4 ดอก ดอกทรงรูปแตรโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบๆ มี 5 กลีบด้วยกัน เรียงเวียนตามเข้มนาฬิกา ดอกใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 นิ้ว เป็นดอกที่งามออ่นหวาน ดอกบานทน 5 - 6 วัน กลีบดอกอ่อนพริ้วดอกสีสวยเอามากๆ
ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปี
สภาพการปลูกอรุณเบิกฟ้า เป็นไม้กลางแจ้ง แสงแดดจัด ชอบดินโปร่ง น้ำปานกลาง แสงแดดต้องเต็มๆวันถ้าไม่เต็มวันควรปลูกในที่มีแดดส่องในยามเช้าสักครึ่งวันจะดีกว่า
การดูแลรักษาปลูก

ได้ในดินทุกชนิด ดินที่ใช้ปลูกต้องโปร่งและระบายน้ำได้ดี ให้ปลูกโหย่งโคนรากขึ้นเหนือผิวดินสักหน่อยจะช่วยให้ต้นไม้ไม่สำลักน้ำเมื่อฝนตกหนักๆ ต้นอรุณเบิกฟ้าค่อนข้างอ่อนไหวง่ายกับน้ำท่วมขังรากจะเน่าง่ายมาก และถ้าดินแน่นแข็ง ต้นก็จะแคระแกร็น มีดอกน้อยให้ดอกเล็ก แสงแดดต้องเต็มวันจะช่วยให้ดอกที่สมบูรณ์ ดอกโต สีสันสดใส การปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อยที่ไม่สูง อาจปลูกเป็นกระโจมในกระถางที่ใหญ่สักหน่อยหรือปลูกให้เลื้อยเถาไปตามรั้วไม้เตี้ยๆก็จะดี ถ้าปล่อยให้เลื้อยสูง ต้นจะผอมแกร็น ไม่แตกกิ่ง ไม่ให้ดอก



คริสต์มาส


คริสต์มาส

ชื่อสามัญ Poinsettia
ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphorbia pulcherima.
ตระกูล EUPHORBIACEAE
คริสต์มาสเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับโกสนและโป๊ยเซียน ใบจะมีสีเขียวเข้ม ขอบใบหยัก ลำต้นจะมีสีน้ำตาลยกเว้นส่วนที่ยังอ่อนจะเป็นสีเขียว ดอกจะมีสีแดงออกอยู่บริเวณยอดของก้าน แต่อันที่จริงดอกที่เราเห็นอยู่นั้นก็คือใบประดับ ที่เปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีแดงนั้นเอง
ต้นไม้ชนิดนี้ที่ได้ชื่อเรียกว่า คริสต์มาสเพราะใบอ่อนด้านบนของต้นจะมีสีแดงสดในช่วงปลายปีถึงต้นปีชึ่งเป็นช่วงที่ประเทศตะวันตก มีการเฉลิมฉลองในเทศกาลครีสต์มาสจึงมีการนำเอาต้นไม้ชนิดนี้มาตกแต่งสถานที่ให้เข้ากับเทศกาล ความโดดเด่นของต้นคริสต์มาสอยู่ที่ใบด้านบนที่มีสีแดงสด ส่วนใบล่างจะมีสีเขียว ใบเป็นหยัก 3 - 4 หยักเป็นไม้ทรงพุ่มขนาดกลางสูงได้ถึง 3 เมตร แตกกิ่งค่อนข้างชี้ตั้งขึ้น เป็นพุ่มแน่น
สภาพการปลูก
เป็นพรรณไม้ทีปลูกที่แสงแดดกึ่งรม ปลูกเป็นไม้ประดับได้ทั้งกลางแจ้งและปลูกเป็นไม้กระถางภายในอาคาร ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 สวน เศษใบไม้ผุ 1 สวน
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการตัดกิ่งปักชำ

ดอกเบญจมาศ



ดอกเบญจมาศ

(Chrysanthemum, Chrysanthemum morifolin)เบญจมาศเป็นไม้ตัดดอกชนิดหนึ่งที่นิยมปลูก เพื่อเลี้ยงและใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งสามารถปลูกได้ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ถ้าปลูกในที่ที่มีอากาศหนาวเย็นจะได้ดอกที่มีคุณภาพดี รูปทรงสวยงาม สีสันสดใส มีพันธุ์ต่างๆ มากมาย หลายสี และหลายฟอร์ม นอกจากใช้เป็นไม้ตัดดอกแล้วยังสามารถใช้เป็นไม้กระถาง และไม้ปลูกประดับสวนได้ดีอีกด้วย ตามธรรมชาติมีฤดูกาลออกดอกในช่วงกลางวันสั้น คือระหว่างเดือนตุลาคมถึงมกราคม โครงการหลวงได้รวบรวมพันธุ์เบญจมาศจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และสหรัฐอเมริกา มาทำการปลูก ทดลอง แล้วคัดพันธุ์ที่ดีทำการขยายต้นพันธุ์ปลอดโรคโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนี้อเยื่อ นำไปส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกกันเป็นอาชีพเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งนับว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ชาวเขาสามารถผลิตดอกเบญจมาศที่มีคุณภาพได้ตลอดปีภายในเรือนโรงกันฝนและแมลง มีการบังคับการออกดอกของ เบญจมาศ โดยการ ควบคุม ด้วยการให้ ไฟฟ้าในเวลากลางคืน












ดอกแอสเตอร์



ดอกแอสเตอร์

ดอกแอสเตอร์ (Aster, Michaelmas Daisy, Aster ericoides)แอสเตอร์ชนิดใหม่ที่เราใช้ดอกในการจัดแจกันในทุกวันนี้ไม่ใช่แอสเตอร์จีน(Aster chinensis) ซึ่งเป็นไม้ล้มลุก (annual) ปลูกจากเมล็ดในฤดูหนาว เมื่อออกดอกแล้วจะถอนต้นที่มีดอกติดอยู่ด้วยจำหน่าย แต่แอสเตอร์ที่นิยมนี้ เป็นแอสเตอร์ ชนิด Aster ericoides เป็นพันธุ์ไม้ข้ามปี (perinnial) เมื่อออกดอกแล้วต้นจะไม่ตาย สามารถปลูกให้ออกดอกได้เรื่อยๆไปและให้ดอกได้ตลอดปี ยิ่งถ้าให้ไฟฟ้าเพิ่มในตอนกลางคืนแล้ว มีดอกลักษณะคล้ายดาวบานสะพรั่ง จึงเรียกดาวเงินในพันธุ์ที่ให้ดอกสีขาว ดาวอังคารที่ให้ดอกสีชมพู ดาวพระศุกร์ที่ให้ดอกสีม่วง และดาวทอง (solidaster)ที่ให้ดอกสีเหลืองซึ่งเป็นลูกผสมของสร้อยทอง (solidago)
ดอกแอสเตอร์นั้นนิยมปลูกกันมากกว่าจิปโซฟิลล่า เพราะปลูกได้ง่ายกว่า ดอกก็สามารถใช้แทนกันได้ และตลาดก็มีความต้องการในปริมาณมาก

ภาษาดอกไม้


ภาษาดอกไม้


โบราณกาลนั้นถือว่าดอกไม้คือสัญลักษณ์ ในบทประพันธ์คลาสสิคมักจะกล่าวถึงดอกไม้ในทางเปรียบเปรยความงามของหญิงสาว หรือสื่อสัญลักษณ์ของความรักผ่านถ้อยคำที่พรรณนาถึงดอกไม้ แม้แต่ William Shakespear การเขียนถึงดอกไม้ก็มักจะถูกเขียนสอดแทรกไว้ในบทประพันธ์ของเขาเสมอ
ในภาษาของดอกไม้ ดอกไม้แต่ละชนิดสื่อความหมายที่แตกต่างกัน การเลือกสรรดอกไม้เพื่อสื่อความหมายให้ตรงใจผู้ให้ และถูกใจผู้รับถือเป็นศิลปะของการสานความสัมพันธ์
ดอกกุหลาบ หมายถึงความรัก ในแต่ละสีสันของดอกกุหลาบจะบ่งบอกความรักในแง่มุมที่แตกต่างกัน เช่นดอกกุหลาบสีแดงหมายถึงรักแท้ และในความรักนั้นก็ค่อนข้างร้อนแรงอยู่พอสมควร
กุหลาบสีขาวหมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทนกุหลาบสีเหลืองหมายถึงความรักที่ลดน้องลง และความรักที่ไม่ซื่อสัตย์